งานวิจัยข้าว ข้าว (Oryza sativa) ถือเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของประเทศไทยมาอย่างยาวนาน ทั้งในแง่ของการบริโภคภายในประเทศ การส่งออกเพื่อสร้างรายได้ และการหล่อเลี้ยงวิถีชีวิตของชาวนาในหลากหลายภูมิภาค ด้วยเหตุนี้ งานวิจัยข้าวจึงมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมข้าวอย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาสายพันธุ์ การเพิ่มผลผลิต การจัดการศัตรูพืช หรือการยกระดับมาตรฐานคุณภาพของเมล็ดข้าวให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดโลก
ประเทศไทยแม้จะมีภูมิอากาศที่เอื้อต่อการปลูกข้าว แต่ก็เผชิญความท้าทายหลากหลายประการ เช่น ความแปรปรวนของสภาพอากาศ ภัยแล้งหรืออุทกภัยที่เกิดถี่ขึ้น คุณภาพดินที่ลดลง รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของความต้องการผู้บริโภคที่มุ่งเน้นเรื่องสุขภาพและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น นอกจากนี้ ตลาดข้าวโลกยังมีการแข่งขันรุนแรง ทั้งจากเวียดนาม อินเดีย กัมพูชา หรือแม้แต่จีนและพม่า ที่เริ่มพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตอย่างรวดเร็ว
ด้วยปัจจัยเหล่านี้ “งานวิจัยข้าว” จึงไม่ใช่เพียงการทดลองในห้องปฏิบัติการหรือในแปลงนา แต่หมายถึงกระบวนการบูรณาการความรู้หลากหลายด้าน เช่น ชีววิทยา ดิน น้ำ เทคโนโลยีชีวภาพ เศรษฐศาสตร์เกษตร หรือแม้แต่นวัตกรรมดิจิทัล เพื่อยกระดับการผลิตข้าวให้สามารถตอบโจทย์ทั้งผู้ผลิต ผู้บริโภค และภาคอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน

การวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์ข้าวทนแล้ง ต้านทานโรค และให้ผลผลิตสูง งานวิจัยข้าว
ความจำเป็นในการพัฒนาสายพันธุ์ข้าว
สภาพภูมิอากาศของไทยในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และไม่แน่นอน เกิดภาวะฝนทิ้งช่วง หรือฝนตกหนักผิดฤดูกาลบ่อยครั้ง ส่งผลโดยตรงต่อการปลูกข้าวซึ่งมีวงจรการเพาะปลูกที่ขึ้นอยู่กับน้ำฝน นอกจากนี้ การระบาดของโรค เช่น โรคไหม้ โรคขอบใบแห้ง และศัตรูพืชที่ดื้อยาเพิ่มขึ้น ทำให้เกษตรกรต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้น แต่ผลผลิตกลับไม่แน่นอน
งานวิจัยด้านการพัฒนาสายพันธุ์จึงมีความสำคัญอย่างมาก โดยมีเป้าหมายเพื่อลดความเสี่ยง เพิ่มผลผลิต และเพิ่มคุณภาพของเมล็ดข้าวให้ตรงตามความต้องการตลาด ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
แนวทางการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวของไทย
1. การปรับปรุงพันธุกรรมแบบดั้งเดิม
วิธีนี้อาศัยการคัดเลือกสายพันธุ์ที่มีลักษณะดี และผสมพันธุ์เพื่อให้ได้พันธุ์ใหม่ที่แข็งแรง เช่น การผสมข้าวเจ้ากับข้าวเหนียว หรือข้าวพันธุ์ดั้งเดิมกับพันธุ์ต้านทานโรค งานวิจัยจากกรมการข้าวและมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เช่น ข้าว กข79 ที่ทนแล้งและให้ผลผลิตดี เป็นตัวอย่างของความสำเร็จจากวิธีนี้
2. การใช้เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology)
นักวิจัยไทยได้ใช้เทคนิค Marker-Assisted Selection (MAS) เพื่อคัดเลือกสายพันธุ์ที่มียีนเด่น เช่น ยีนต้านทานโรค หรือยีนควบคุมความสูงต้น วิธีนี้ช่วยลดระยะเวลาคัดเลือกพันธุ์จากหลายปีเหลือเพียง 1–2 ปี และยังแม่นยำสูง ตัวอย่างข้าวที่พัฒนาโดยเทคโนโลยีนี้ เช่น ข้าว กข6 ที่ต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล
3. การดัดแปลงพันธุกรรม (GMO)
แม้การใช้ GMO ในข้าวยังอยู่ในช่วงจำกัดในเชิงพาณิชย์ แต่ในเชิงวิจัย มีความพยายามในการแทรกยีนจากสิ่งมีชีวิตอื่นเข้าสู่ข้าว เช่น ยีนต้านทานโรค หรือยีนที่ช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็กมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ประเด็นด้านจริยธรรม ความปลอดภัย และกฎหมาย ยังเป็นอุปสรรคที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
ชื่อสายพันธุ์ | ลักษณะเด่น | หน่วยงานวิจัย |
---|---|---|
ข้าวหอมมะลิ 105 | กลิ่นหอม คุณภาพสูง เหมาะส่งออก | กรมการข้าว |
กข79 | ทนแล้ง ต้านโรค ให้ผลผลิตสูง | กรมการข้าว |
กข43 | น้ำตาลต่ำ เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวาน | ม.เกษตรศาสตร์ |
กข6 | ต้านเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล | ม.ขอนแก่น |
ประโยชน์จากการพัฒนาสายพันธุ์
-
เพิ่มผลผลิตต่อไร่ และลดความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ
-
ลดต้นทุนการใช้สารเคมี เนื่องจากสายพันธุ์ต้านโรคและแมลงได้
-
ตรงตามความต้องการผู้บริโภค เช่น ข้าวไรซ์เบอร์รี่ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง
-
ส่งเสริมการส่งออก เพราะคุณภาพสม่ำเสมอและได้มาตรฐาน

การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมอัจฉริยะในงานวิจัยข้าวยุคใหม่ งานวิจัยข้าว
ในยุคที่เทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามามีบทบาทในทุกภาคส่วนของชีวิตประจำวัน การเกษตรก็ไม่สามารถอยู่ในรูปแบบดั้งเดิมได้ตลอดไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปลูกข้าว ซึ่งถือเป็นรากฐานของความมั่นคงทางอาหารของประเทศไทย จำเป็นต้องยกระดับกระบวนการผลิตให้ทันสมัยและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น
“การเกษตรอัจฉริยะ” หรือ “Smart Farming” ไม่ใช่เพียงแค่การใช้เครื่องจักรหรือแอปพลิเคชัน แต่หมายถึงการผสมผสานเทคโนโลยีหลากหลาย เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI), ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS), อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT), การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data), และโดรน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การวิจัยพันธุ์ การเพาะปลูก การเก็บเกี่ยว ไปจนถึงการวางแผนตลาด
การนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ในงานวิจัยข้าวจึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่เป็นกุญแจสำคัญในการสร้าง “เกษตรแม่นยำ” (Precision Agriculture) ที่สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในตลาดโลกอย่างยั่งยืน
1. การใช้เซ็นเซอร์และ IoT ในการเก็บข้อมูลดิน น้ำ และสภาพแวดล้อม
หนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของการทำเกษตรอัจฉริยะ คือ “ข้อมูล” การติดตั้งเซ็นเซอร์ในแปลงนาช่วยให้สามารถเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับความชื้นในดิน อุณหภูมิ ความเป็นกรด-ด่าง หรือแม้แต่ค่าปริมาณธาตุอาหารได้แบบเรียลไทม์ และส่งข้อมูลผ่านระบบอินเทอร์เน็ตไปยังแอปพลิเคชันหรือฐานข้อมูลกลาง
ข้อมูลที่ได้สามารถนำไปวิเคราะห์เพื่อวางแผนการให้น้ำ ใส่ปุ๋ย หรือวิเคราะห์ความเสี่ยงของการระบาดของโรคและแมลงได้อย่างแม่นยำ ลดความสูญเปล่า และลดต้นทุนอย่างมีนัยสำคัญ
ตัวอย่างเช่น
-
โครงการทดลองของกรมการข้าว ร่วมกับหน่วยงานวิจัย ICT ใช้ระบบ IoT ตรวจวัดความชื้นและให้น้ำอัตโนมัติในนาแถบภาคกลาง ซึ่งช่วยประหยัดน้ำได้ถึง 30% และเพิ่มผลผลิตเฉลี่ย 20%
2. การใช้โดรนเพื่อเกษตรแม่นยำ
โดรนหรืออากาศยานไร้คนขับ (UAV) เป็นเครื่องมือสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ใช้ในการสำรวจ วิเคราะห์ และปฏิบัติงานในไร่นาข้าวอย่างมีประสิทธิภาพ โดรนสามารถใช้เพื่อ:
-
ถ่ายภาพแปลงนาแบบแผนที่ NDVI เพื่อดูสุขภาพของต้นข้าว
-
พ่นปุ๋ยหรือสารชีวภัณฑ์ เฉพาะพื้นที่ที่จำเป็น ลดการใช้สารเคมี
-
เก็บภาพความเสียหายจากศัตรูพืชหรือภัยธรรมชาติ เพื่อการจัดการฉุกเฉิน
การใช้โดรนไม่เพียงลดแรงงานมนุษย์ แต่ยังช่วยเกษตรกรตัดสินใจได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ขนาดใหญ่หรือพื้นที่ยากต่อการเข้าถึง เช่น ที่ราบน้ำท่วมถึง หรือพื้นที่ห่างไกล
3. ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการวิเคราะห์ข้อมูล (Big Data)
เมื่อข้อมูลจากเซ็นเซอร์หรือโดรนถูกเก็บรวบรวมจำนวนมาก การใช้ AI และ Big Data เข้ามาวิเคราะห์เป็นสิ่งที่จำเป็น AI สามารถช่วย:
-
คาดการณ์ช่วงเวลาปลูกและเก็บเกี่ยวที่เหมาะสมตามสภาพภูมิอากาศ
-
วิเคราะห์ความเสี่ยงจากโรคพืช
-
แนะนำสูตรการใส่ปุ๋ยเฉพาะแปลง
-
คำนวณต้นทุนและกำไรล่วงหน้า
ระบบเหล่านี้บางส่วนเริ่มถูกพัฒนาในระดับแอปพลิเคชัน เช่น
-
แอป “Rice Doctor” ที่พัฒนาโดย IRRI (International Rice Research Institute) และหน่วยงานไทย ใช้ AI เพื่อวินิจฉัยโรคจากภาพใบข้าว
-
ระบบ “FarmAI” ที่ช่วยวิเคราะห์ผลผลิตจากภาพถ่ายโดรนโดยอัตโนมัติ
4. Blockchain และการติดตามย้อนกลับ (Traceability)
ในตลาดข้าวพรีเมียมและข้าวอินทรีย์ ความสามารถในการติดตามย้อนกลับ (Traceability) กลายเป็นสิ่งจำเป็น เทคโนโลยี Blockchain จึงถูกนำมาใช้เพื่อบันทึกข้อมูลทุกขั้นตอนตั้งแต่เมล็ดพันธุ์ วิธีการเพาะปลูก แหล่งน้ำ สารที่ใช้ ไปจนถึงแหล่งจำหน่าย
ตัวอย่างการใช้ Blockchain ได้แก่
-
โครงการข้าวหอมมะลิอินทรีย์จากจังหวัดสุรินทร์ ที่เชื่อมโยงข้อมูลการปลูกและการตรวจสอบคุณภาพกับระบบ Blockchain เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคในยุโรป
การมีระบบข้อมูลแบบนี้ ช่วยให้ผู้บริโภคเลือกซื้อข้าวที่ปลอดภัย และเกษตรกรสามารถตั้งราคาขายได้สูงขึ้น เพราะมีข้อมูลยืนยันคุณภาพ
5. แพลตฟอร์มออนไลน์และการให้คำปรึกษาอัจฉริยะ
หน่วยงานวิจัยและสตาร์ทอัพหลายแห่ง ได้พัฒนาแพลตฟอร์มให้บริการคำปรึกษาแบบเรียลไทม์สำหรับเกษตรกร โดยเกษตรกรสามารถ:
-
ถ่ายภาพพืชเพื่อให้ระบบวิเคราะห์ปัญหา
-
ป้อนข้อมูลแปลงนาเพื่อรับคำแนะนำเฉพาะพื้นที่
-
พูดคุยกับนักวิจัยหรือผู้เชี่ยวชาญผ่านแชทบอทหรือวิดีโอคอล
นอกจากนี้ ยังมีแอปพลิเคชันที่เชื่อมโยงกับตลาดกลางออนไลน์ ช่วยให้เกษตรกรสามารถขายข้าวตรงสู่ผู้บริโภค ลดพ่อค้าคนกลาง และเพิ่มรายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประโยชน์ของการใช้เทคโนโลยีในงานวิจัยข้าว
-
เพิ่มประสิทธิภาพการปลูก และลดต้นทุน
-
สร้างฐานข้อมูลข้าวขนาดใหญ่ สำหรับการวิจัยระยะยาว
-
สนับสนุนเกษตรกรรายย่อยให้เข้าถึงองค์ความรู้ได้ง่าย
-
ช่วยปรับตัวต่อภาวะโลกร้อนและความเปลี่ยนแปลงของตลาดโลก
-
ยกระดับความน่าเชื่อถือของสินค้าเกษตรไทยในระดับสากล
โครงการ | หน่วยงาน | รายละเอียด |
---|---|---|
Smart Rice by ARDA | สวก. | นำ AI และ IoT มาใช้ตรวจสอบปริมาณน้ำและธาตุอาหาร |
Digital Rice Lab | ม.เกษตรศาสตร์ | ห้องปฏิบัติการใช้ AI วิเคราะห์พันธุ์ข้าวและคุณภาพเมล็ด |
IRRI-TH Rice Data Hub | IRRI, DOA | ฐานข้อมูลพันธุกรรมและภาพถ่ายดาวเทียมของแปลงข้าว |

งานวิจัยข้าว – ก้าวสู่อนาคตแห่งเกษตรไทย
ประเทศไทยในฐานะประเทศผู้ผลิตและส่งออกข้าวรายสำคัญของโลก มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพัฒนาระบบการผลิตข้าวให้มีประสิทธิภาพ และตอบสนองต่อความต้องการของทั้งตลาดภายในและต่างประเทศให้ได้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นด้านคุณภาพ ความปลอดภัย หรือความยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ งานวิจัยข้าวจึงถือเป็นกลไกหลักที่ช่วยผลักดันวงการเกษตรกรรมไทยให้สามารถแข่งขันได้อย่างมั่นคง
จากเนื้อหาทั้งสองหัวข้อที่ผ่านมา เราสามารถสรุปภาพรวมของ “งานวิจัยข้าว” ได้ว่า การพัฒนาและวิจัยข้าวในยุคปัจจุบัน ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในห้องทดลองหรือแปลงเกษตรทดลองอีกต่อไป หากแต่ต้องเชื่อมโยงระหว่าง “องค์ความรู้” และ “เทคโนโลยีสมัยใหม่” เข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่สามารถนำไปใช้จริงได้ในระดับพื้นที่และระดับนโยบาย
งานวิจัยสายพันธุ์ข้าว – ตอบโจทย์ความต้องการหลากหลาย
หนึ่งในเสาหลักของงานวิจัยข้าวที่มีความสำคัญอย่างต่อเนื่อง คือ การปรับปรุงพันธุ์ข้าวให้มีคุณสมบัติตรงตามเป้าหมายของทั้งเกษตรกร ผู้บริโภค และภาคอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นการทนแล้ง การต้านทานโรค การให้ผลผลิตสูง หรือการมีคุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสมกับผู้บริโภครุ่นใหม่
การพัฒนาสายพันธุ์ข้าวในปัจจุบันอาศัยหลากหลายเทคนิค ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงพันธุ์แบบดั้งเดิม การใช้เทคโนโลยีชีวภาพ หรือแม้แต่การศึกษาพันธุกรรมระดับโมเลกุล ซึ่งล้วนแล้วแต่ต้องอาศัยงานวิจัยที่มีความเข้มแข็ง ทั้งในด้านพันธุกรรมดั้งเดิมของข้าวไทย และในด้านการทดลองภาคสนามที่หลากหลายภูมิภาค
ตัวอย่างของพันธุ์ข้าวที่ประสบความสำเร็จ เช่น ข้าวหอมมะลิ 105 ซึ่งเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก หรือพันธุ์ใหม่ ๆ อย่าง กข79 ซึ่งทนแล้งได้ดี รวมถึง กข43 ที่มีปริมาณน้ำตาลต่ำ เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวาน แสดงให้เห็นว่าการวิจัยพันธุ์ข้าวของไทยมีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง และสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมและความต้องการของตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
งานวิจัยด้านเทคโนโลยี – เมื่อข้าวเชื่อมโยงกับนวัตกรรมอัจฉริยะ
นอกจากการพัฒนาสายพันธุ์แล้ว งานวิจัยข้าวในปัจจุบันยังได้นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการบริหารจัดการอย่างยั่งยืน เทคโนโลยีที่ถูกนำมาใช้มีทั้งระบบเซ็นเซอร์และ IoT ที่ช่วยเก็บข้อมูลด้านดิน น้ำ อุณหภูมิ และความชื้นในแปลงนา รวมถึงโดรนที่ใช้ในการสำรวจพื้นที่ พ่นปุ๋ย หรือวิเคราะห์สุขภาพของต้นข้าว
นอกจากนี้ การใช้ AI และ Big Data เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลจากหลายแหล่ง ยังช่วยให้สามารถตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ได้อย่างแม่นยำ เช่น การพยากรณ์ผลผลิต การวางแผนการเก็บเกี่ยว หรือการจัดสรรปัจจัยการผลิตอย่างเหมาะสม ทั้งนี้ ยังมีการใช้เทคโนโลยี Blockchain เพื่อให้สามารถติดตามย้อนกลับถึงแหล่งที่มาของข้าวในแต่ละถุง ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ
เทคโนโลยีเหล่านี้ไม่เพียงช่วยเพิ่มผลผลิต แต่ยังช่วยให้เกษตรกรไทยมีความมั่นใจในกระบวนการผลิต มีข้อมูลรองรับการขายสินค้า และสามารถแข่งขันในตลาดระดับสูงได้ โดยเฉพาะข้าวอินทรีย์ ข้าว GI หรือข้าวคุณภาพพรีเมียม
ความเชื่อมโยงของสองแนวทาง – งานวิจัยต้องก้าวพร้อมเทคโนโลยี
แม้ว่าหัวข้อของงานวิจัยข้าวทั้งสองด้านจะดูเหมือนเป็นคนละเรื่องกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทั้งสองแนวทางมีความเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง การพัฒนาสายพันธุ์ข้าวต้องอาศัยข้อมูลจากภาคสนามจริง เพื่อปรับแต่งลักษณะพันธุ์ให้เหมาะสมกับภูมิอากาศในแต่ละพื้นที่ และในขณะเดียวกัน เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น IoT หรือ AI ก็สามารถให้ข้อมูลย้อนกลับที่รวดเร็วและแม่นยำ ช่วยให้นักวิจัยปรับปรุงพันธุ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
นอกจากนี้ เทคโนโลยียังช่วยลดระยะเวลาของวงจรการวิจัยจาก 7–10 ปี เหลือเพียง 3–5 ปี และช่วยให้ต้นทุนการทดลองลดลงอย่างมาก หรือหากมีการระบาดของโรคในแปลงทดลอง เทคโนโลยีก็สามารถช่วยวิเคราะห์แนวโน้มและสาเหตุได้ทันที ทำให้งานวิจัยสามารถปรับเปลี่ยนแนวทางได้อย่างยืดหยุ่นและแม่นยำ
บทบาทของเกษตรกร ชุมชน และรัฐในอนาคตของงานวิจัยข้าว
เพื่อให้งานวิจัยข้าวเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ไม่เพียงแต่ต้องอาศัยนักวิจัยหรือเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังต้องอาศัยความร่วมมือของภาคประชาชนโดยเฉพาะ “เกษตรกร” ผู้ที่เป็นเจ้าของแปลงนาและเป็นผู้ใช้ประโยชน์จากงานวิจัยโดยตรง เกษตรกรจำเป็นต้องได้รับการอบรมให้เข้าใจงานวิจัย มีทักษะในการใช้เทคโนโลยี และสามารถประเมินความเหมาะสมของนวัตกรรมกับบริบทของตนได้
ในขณะเดียวกัน ภาครัฐควรส่งเสริมทุนวิจัย สนับสนุนงบประมาณ และสร้างระบบการขยายผลให้รวดเร็วและทั่วถึง โดยอาจร่วมมือกับสถาบันการศึกษา องค์กรปกครองท้องถิ่น และภาคเอกชน เพื่อทำให้งานวิจัยข้าวไม่จบแค่ในห้องทดลอง แต่กลายเป็นนโยบายระดับชาติที่ยั่งยืนและต่อเนื่อง
สรุปสุดท้าย
“งานวิจัยข้าว” คือกลไกสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนระบบเกษตรกรรมของไทยให้เข้าสู่อนาคตอย่างมีศักยภาพ การพัฒนาสายพันธุ์และการใช้เทคโนโลยีต่างก็มีบทบาทเสริมกันอย่างชัดเจน และสามารถสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ได้หากมีการบริหารจัดการร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ
ประเทศไทยมีทรัพยากรธรรมชาติที่เหมาะสม และยังมีบุคลากรที่มีความสามารถในด้านการวิจัยมากมาย หากเราสามารถใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้เหล่านี้ได้อย่างเต็มที่ พร้อมกับนำเทคโนโลยีมาสนับสนุนให้เกิดการผลิตข้าวที่ชาญฉลาดและยั่งยืน ก็จะสามารถรักษาความเป็นผู้นำด้านข้าวของโลกไว้ได้ในระยะยาว และยังช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทยให้มั่นคงขึ้นอีกด้วย