งานวิจัยอ้อย “อ้อย” ถือเป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย และยังเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตน้ำตาลทราย เอทานอล รวมถึงผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมต่อเนื่องหลากหลายชนิด อาทิ เยื่อกระดาษ ปุ๋ยอินทรีย์ หรือเชื้อเพลิงชีวภาพ ดังนั้น อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลจึงมีบทบาทอย่างมากต่อทั้งระบบเศรษฐกิจ การส่งออก และการจ้างงานของประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันตก ซึ่งมีการเพาะปลูกอ้อยอย่างกว้างขวาง
อย่างไรก็ตาม เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยและภาคอุตสาหกรรมอ้อยของไทยก็ยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลต่อผลผลิต ปัญหาโรคพืชและแมลงศัตรูอ้อย การลดลงของคุณภาพดิน รวมไปถึงแรงงานที่ขาดแคลน หรือราคาน้ำตาลที่ผันผวนในตลาดโลก ดังนั้น เพื่อให้สามารถแข่งขันและเติบโตได้อย่างยั่งยืน การวิจัยและพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับอ้อยจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง
งานวิจัยอ้อยในประเทศไทยมีการดำเนินการทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน มหาวิทยาลัย และสถาบันวิจัยต่าง ๆ โดยมุ่งเน้นหลายด้าน ทั้งการปรับปรุงพันธุ์อ้อย การจัดการดินและน้ำ การควบคุมศัตรูพืชโดยชีววิธี การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต รวมไปถึงการสร้างมูลค่าเพิ่มจากผลิตภัณฑ์อ้อยในรูปแบบต่าง ๆ

การพัฒนาสายพันธุ์อ้อยที่ให้ผลผลิตสูงและทนแล้ง งานวิจัยอ้อย
ความสำคัญของการปรับปรุงพันธุ์อ้อย
อ้อยเป็นพืชไร่ที่ต้องการพื้นที่เพาะปลูกขนาดใหญ่ และมีวงจรการผลิตที่ต้องอาศัยสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม โดยเฉพาะน้ำฝนในช่วงปลูก หากฝนทิ้งช่วงหรือเกิดภัยแล้ง จะส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของลำต้น และทำให้ปริมาณความหวานในลำอ้อยลดลง ส่งผลโดยตรงต่อผลผลิตน้ำตาลทรายที่ได้ ดังนั้นการพัฒนาสายพันธุ์อ้อยที่สามารถทนแล้ง และยังคงให้ผลผลิตสูง จึงกลายเป็นเป้าหมายสำคัญของงานวิจัยในรอบหลายทศวรรษที่ผ่านมา
แนวทางการพัฒนาสายพันธุ์
การปรับปรุงพันธุ์อ้อยมุ่งเน้นหลายลักษณะร่วมกัน เช่น
-
ความสามารถในการทนแล้ง
-
การเจริญเติบโตเร็ว
-
ปริมาณน้ำตาล (Pol) สูง
-
ต้านทานโรคใบขาว และโรคใบลาย
-
ความเหมาะสมต่อการเก็บเกี่ยวด้วยเครื่องจักร
งานวิจัยมักใช้วิธีการผสมพันธุ์ระหว่างสายพันธุ์ที่มีศักยภาพ และการคัดเลือกพันธุ์ด้วยเครื่องหมายทางพันธุกรรม (Molecular Marker-Assisted Selection) ซึ่งช่วยลดระยะเวลาการพัฒนาได้อย่างมาก นอกจากนี้ ยังมีการใช้เทคโนโลยีจีโนมิกส์และการวิเคราะห์ DNA ช่วยเพิ่มความแม่นยำและลดความเสี่ยงของความล้มเหลวในการคัดเลือกพันธุ์
ชื่อพันธุ์ | ลักษณะเด่น | หน่วยงานวิจัย |
---|---|---|
F140 | ให้ผลผลิตสูง ทนแล้ง ปรับตัวได้ดี | กรมวิชาการเกษตร |
LK92-11 | ปริมาณน้ำตาลสูง ต้านทานโรคใบขาว | สถาบันอ้อยแห่งประเทศไทย |
K88-92 | เหมาะกับพื้นที่แล้ง มีลำใหญ่ | ม.เกษตรศาสตร์ |
Th82-30 | ทนสภาพน้ำท่วมชั่วคราวได้ดี | โรงงานน้ำตาลเอกชนร่วมวิจัย |
ผลที่ได้รับจากการพัฒนาสายพันธุ์
-
เกษตรกรมีทางเลือกในการปลูกอ้อยที่เหมาะกับพื้นที่
-
ลดการสูญเสียจากสภาพอากาศที่ไม่แน่นอน
-
เพิ่มปริมาณน้ำตาลต่อไร่ ส่งผลดีต่อรายได้และต้นทุน
-
สร้างความยั่งยืนของอุตสาหกรรมอ้อย-น้ำตาลทั้งระบบ

การใช้ชีวภัณฑ์ควบคุมโรคและแมลงศัตรูอ้อย งานวิจัยอ้อย
ความจำเป็นในการควบคุมโรคและแมลงศัตรูอ้อย
แม้อ้อยจะเป็นพืชที่มีความทนทาน แต่ก็มีศัตรูพืชหลายชนิดที่สามารถสร้างความเสียหายรุนแรงได้ ทั้งในระยะต้นอ่อน ระยะการเจริญเติบโต ไปจนถึงช่วงก่อนการเก็บเกี่ยว ตัวอย่างเช่น หนอนเจาะลำต้น เพลี้ยแป้ง เพลี้ยหอย หนอนกอ หรือโรคใบขาวและใบลาย ซึ่งล้วนส่งผลต่อปริมาณผลผลิตและคุณภาพของน้ำอ้อย
แต่ในอดีต การควบคุมศัตรูพืชเหล่านี้มักใช้สารเคมีเป็นหลัก ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ดิน น้ำ และสุขภาพของเกษตรกร ดังนั้น หน่วยงานวิจัยหลายแห่งจึงได้หันมาให้ความสำคัญกับการใช้ ชีวภัณฑ์ (Biological Control Agents) หรือสารชีวภาพซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสามารถควบคุมศัตรูพืชได้อย่างยั่งยืน
ชีวภัณฑ์ที่ใช้ในการควบคุมแมลงศัตรูอ้อย
ชีวภัณฑ์หมายถึงสิ่งมีชีวิตหรือสารที่ผลิตจากสิ่งมีชีวิต เช่น จุลินทรีย์ เห็ดรา แบคทีเรีย หรือไวรัส ที่มีคุณสมบัติเฉพาะในการควบคุมโรคพืชหรือแมลงศัตรูพืช งานวิจัยในประเทศไทยได้นำชีวภัณฑ์มาใช้กับอ้อยอย่างต่อเนื่อง เช่น
1. เชื้อราบิวเวอเรีย (Beauveria bassiana)
-
ใช้ควบคุมเพลี้ยแป้ง และเพลี้ยหอย
-
ฉีดพ่นในระยะอ้อยอายุ 2-4 เดือน
-
สามารถลดประชากรแมลงได้มากกว่า 70%
2. เชื้อราขาวเมตาไรเซียม (Metarhizium anisopliae)
-
ใช้ควบคุมหนอนกอ และด้วงงวง
-
ปลอดภัยต่อแมลงมีประโยชน์ เช่น ผึ้ง หรือแมลงชี้นำ
3. เชื้อแบคทีเรียบาซิลลัส ธูริงเยนซิส (Bt)
-
ใช้ควบคุมหนอนเจาะลำต้นอ้อย
-
ทำลายระบบย่อยอาหารของหนอน และตายภายใน 1-2 วัน
4. การปล่อยแตนเบียนและแมลงห้ำ
-
แตนเบียน Trichogramma spp. เป็นศัตรูทางธรรมชาติของหนอนกอ
-
การปล่อยในพื้นที่เหมาะสมสามารถลดความเสียหายจากหนอนได้กว่า 60%
ชีวภัณฑ์ควบคุมโรคในอ้อย
โรคในอ้อยที่สำคัญ ได้แก่
-
โรคใบขาว (Sugarcane White Leaf Disease)
-
โรคใบลาย (Sugarcane Mosaic Virus)
-
โรครากเน่าโคนเน่า
-
โรคเหี่ยวจากเชื้อแบคทีเรีย
งานวิจัยพบว่าการใช้เชื้อราสาเหตุโรคพืชชนิดอ่อน (เช่น Trichoderma harzianum) สามารถยับยั้งเชื้อราก่อโรคในดิน และกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของต้นอ้อยได้ นอกจากนี้ยังมีการใช้แบคทีเรีย Pseudomonas fluorescens เพื่อควบคุมโรคทางใบ และส่งเสริมการเจริญเติบโตไปพร้อมกัน
ข้อดีของการใช้ชีวภัณฑ์ในแปลงอ้อย
-
ลดการใช้สารเคมี
-
เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสัตว์มีประโยชน์
-
ลดต้นทุนในระยะยาว
-
ส่งเสริมการทำเกษตรอินทรีย์และยั่งยืน
-
เพิ่มโอกาสการรับรองมาตรฐาน GAP และ Organic
ชื่อโครงการ | หน่วยงาน | ผลลัพธ์สำคัญ |
---|---|---|
การควบคุมเพลี้ยหอยในอ้อยด้วยเชื้อราบิวเวอเรีย | กรมวิชาการเกษตร | ลดการระบาดเฉลี่ย 75% ในพื้นที่ทดลอง |
การใช้เชื้อ Bt ร่วมกับการปล่อยแตนเบียน | ม.เกษตรศาสตร์ | ลดการใช้สารเคมีลง 60% ภายใน 2 ปี |
ผลของ Trichoderma ต่อโรครากเน่า | สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก.) | ลดการตายของต้นอ้อยในแปลงถึง 40% |
ความท้าทายและแนวทางต่อยอด
แม้ว่าชีวภัณฑ์จะมีประสิทธิภาพดี แต่ยังมีข้อจำกัด เช่น อายุการเก็บรักษาสั้น ผลต่อแมลงเป้าหมายช้า หรือการใช้งานที่ต้องอาศัยความรู้เฉพาะ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการถ่ายทอดองค์ความรู้แก่เกษตรกรอย่างสม่ำเสมอ และมีการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชีวภัณฑ์ที่มีความเสถียรมากขึ้น เช่น การใช้สูตรแคปซูลชีวภาพ หรือการทำสารละลายพร้อมใช้ในแปลง
นอกจากนี้ ภาครัฐและเอกชนควรส่งเสริมการตั้งศูนย์ผลิตชีวภัณฑ์ระดับชุมชน เพื่อให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงวัสดุชีวภาพได้ง่ายขึ้น และลดการพึ่งพาสารเคมีในระยะยาว

การวิจัยเพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์จากอ้อยและของเหลือใช้ทางการเกษตร
ความสำคัญของการเพิ่มมูลค่าในอุตสาหกรรมอ้อย
ในอดีต “อ้อย” ถูกใช้เป็นเพียงวัตถุดิบหลักในการผลิตน้ำตาลเท่านั้น แต่ในปัจจุบัน ทิศทางของอุตสาหกรรมเกษตรทั่วโลกได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยให้ความสำคัญกับแนวคิด “เศรษฐกิจชีวภาพ” (Bioeconomy) ซึ่งเน้นการใช้ทรัพยากรชีวภาพให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งในรูปของอาหาร พลังงาน และผลิตภัณฑ์ชีวภาพต่าง ๆ
ประเทศไทยเองก็มีเป้าหมายในการยกระดับอุตสาหกรรมอ้อยให้เป็นมากกว่าการผลิตน้ำตาล ด้วยการผลักดันการวิจัยเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับอ้อยในทุกส่วน ตั้งแต่ลำต้น น้ำอ้อย กากอ้อย ไปจนถึงเศษเหลือทางการเกษตร เช่น ใบอ้อย หรือฟางอ้อย เพื่อแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ทิศทางของการวิจัยเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์จากอ้อย
การวิจัยด้านนี้มีเป้าหมายเพื่อพัฒนา “ผลิตภัณฑ์ใหม่” และ “กระบวนการผลิตใหม่” ที่สามารถใช้ทรัพยากรจากอ้อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเน้นประเด็นหลัก ดังนี้
-
การใช้วัตถุดิบจากอ้อยอย่างครบวงจร (Zero Waste)
-
การสร้างผลิตภัณฑ์ชีวภาพ เช่น พลาสติกชีวภาพ เอทานอล หรืออาหารสัตว์
-
การแปรรูปขยะชีวภาพจากอ้อยเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง เช่น ปุ๋ยชีวภาพ หรือพลังงานสะอาด
-
การต่อยอดด้วยนวัตกรรม เช่น นาโนเทคโนโลยี หรือเทคโนโลยีหมัก
ตัวอย่างงานวิจัยเพิ่มมูลค่าจากอ้อยและผลพลอยได้
1. ผลิตเอทานอลจากน้ำกากอ้อย
-
น้ำกากอ้อยเป็นของเหลือจากการกลั่นน้ำตาล ซึ่งมีน้ำตาลตกค้างสูง
-
ใช้กระบวนการหมักด้วยยีสต์ Saccharomyces cerevisiae
-
ได้เอทานอลความเข้มข้น 8–12% สำหรับใช้ในอุตสาหกรรมพลังงาน
-
ช่วยลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล และสนับสนุนพลังงานหมุนเวียน
2. การผลิตปุ๋ยอินทรีย์จากใบอ้อยและกากอ้อย
-
ใช้จุลินทรีย์กลุ่มเร่งการย่อยสลาย เช่น ไตรโคเดอร์มา หรือแอซิโตแบคเตอร์
-
แปรรูปใบอ้อย ฟาง และกากอ้อยเป็นปุ๋ยอินทรีย์ภายใน 45 วัน
-
ช่วยลดต้นทุนการใช้ปุ๋ยเคมี และเพิ่มอินทรียวัตถุให้กับดิน
3. การผลิตแผ่นเยื่อกระดาษจากกากอ้อย
-
ใช้เทคโนโลยีบดละเอียด และอบด้วยความร้อน
-
แผ่นเยื่อสามารถนำไปผลิตบรรจุภัณฑ์หรือกระดาษพิมพ์
-
ลดการตัดไม้ทำลายป่า และใช้ทรัพยากรหมุนเวียนได้อย่างเต็มที่
4. การผลิตพลาสติกชีวภาพ (Bioplastic) จากน้ำอ้อย
-
สกัดน้ำตาลกลูโคสจากน้ำอ้อย
-
หมักด้วยแบคทีเรียชนิดพิเศษให้เกิดกรดแลคติก (Lactic Acid)
-
นำไปแปรรูปเป็นพลาสติก PLA (Polylactic Acid)
-
ผลิตภัณฑ์ที่ได้สามารถย่อยสลายได้ภายใน 6 เดือน
ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และมหาวิทยาลัย
หลายงานวิจัยเพิ่มมูลค่าอ้อยเกิดจากความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ เช่น:
โครงการ | หน่วยงานที่ร่วมมือ | ผลลัพธ์ |
---|---|---|
การผลิตเอทานอลจากกากอ้อย | ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี + โรงงานน้ำตาล | ผลิตเอทานอลได้ 20,000 ลิตร/วัน |
ปุ๋ยอินทรีย์จากเศษอ้อย | สถาบันวิจัยพืชไร่ กรมวิชาการเกษตร | ใช้แทนปุ๋ยเคมีได้ 50% |
แพ็กเกจจิ้งจากเยื่ออ้อย | สวทช. + สตาร์ทอัพเอกชน | ผลิตกล่องอาหารปลอดสารพิษ |
ข้อดีของการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์จากอ้อย
-
เพิ่มรายได้ให้เกษตรกรและโรงงานน้ำตาล
-
ลดปัญหาขยะจากการผลิต
-
ส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)
-
ตอบโจทย์ด้านความยั่งยืนและความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
-
สร้างโอกาสส่งออกสินค้าแปรรูปจากอ้อยในรูปแบบใหม่
ความท้าทายและข้อเสนอแนะ
ถึงแม้การวิจัยเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์อ้อยจะมีแนวโน้มที่ดี แต่ก็ยังมีอุปสรรคในเรื่องต้นทุนการผลิตที่สูง เทคโนโลยีบางอย่างยังไม่แพร่หลาย และเกษตรกรขาดความรู้ในการต่อยอดนวัตกรรม ดังนั้นจึงควรมีการ:
-
สนับสนุนทุนวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบ
-
จัดอบรมเกษตรกรและโรงงานขนาดเล็กให้รู้จักการแปรรูป
-
พัฒนาช่องทางตลาด เช่น ตลาดเกษตรสีเขียว หรือออนไลน์
-
ส่งเสริมการใช้มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชีวภาพและความปลอดภัย
บทสรุปภาพรวม
“อ้อย” ไม่ใช่เพียงแค่พืชไร่ธรรมดา แต่คือหัวใจสำคัญของภาคเกษตรและอุตสาหกรรมของประเทศไทย การที่ประเทศสามารถรักษาระดับการผลิตน้ำตาลและผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องในระดับแข่งขันได้นั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากการพัฒนาอย่างต่อเนื่องผ่าน “งานวิจัยอ้อย” ในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นด้านพันธุศาสตร์ เทคโนโลยีชีวภาพ หรือการบริหารจัดการแบบองค์รวม โดยงานวิจัยเหล่านี้ได้กลายมาเป็นเครื่องมือที่ช่วยยกระดับผลผลิต ความยั่งยืน และคุณภาพชีวิตของเกษตรกร
จะเห็นได้ว่า งานวิจัยอ้อย เป็นกลไกสำคัญที่ช่วยผลักดันระบบเกษตรกรรมของประเทศไทยให้เดินหน้าไปสู่ความมั่นคงและยั่งยืน ทั้งในแง่ผลผลิต รายได้ของเกษตรกร และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยแต่ละด้านล้วนเกี่ยวข้องกันและเสริมพลังซึ่งกันและกันอย่างมีนัยสำคัญ
ดังนั้น การสนับสนุนงานวิจัยและนวัตกรรมในด้านอ้อยไม่ใช่เพียงภารกิจของนักวิจัยเท่านั้น แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากภาครัฐ ภาคเอกชน และเกษตรกร รวมถึงการส่งเสริมความรู้และสร้างโอกาสใหม่ให้แก่ทุกภาคส่วน เพื่อให้ “อ้อย” ไม่ใช่แค่พืชไร่เพื่อการผลิต แต่เป็นรากฐานแห่ง “การพัฒนาเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน”